ECT_knowledge

weblog
          
          A blog (a contraction of the words web log)[1] is a discussion or 
informational site published on the World Wide Web and consisting 
of discrete entries ("posts") typically displayed in reverse 
chronological order (the most recent post appears first).
 Until 2009 blogs were usually the work of a single individual,
 occasionally of a small group, and often covered a single subject. 
More recently "multi-author blogs" (MABs) have developed, 
with posts written by large numbers of authors and professionally edited.
 MABs from newspapers, other media outlets, universities
, think tanks, interest groups and similar institutions account
 for an increasing quantity of blog traffic. The rise
 of Twitter and other "microblogging" systems helps
 integrate MABs and single-author blogs into societal 
newstreams. Blog can also be used as a verb, meaning
 to maintain or add content to a blog.
The emergence and growth of blogs
 in the late 1990s coincided with the advent of web
 publishing tools that facilitated the posting 
of content by non-technical users. (Previously
, a knowledge of such technologies as HTML and FTP
 had been required to publish content on the Web.)

เว็บบล็อก

                บล็อก (อังกฤษ: blog) เป็นคำรวมมาจากคำว่า เว็บล็อก (อังกฤษ: weblog) เป็นรูปแบบเว็บไซต์ประเภทหนึ่ง 
ซึ่งถูกเขียนขึ้นในลำดับที่เรียงตามเวลาในการเขียน ซึ่งจะแสดงข้อมูลที่เขียนล่าสุดไว้แรกสุด
 บล็อกโดยปกติจะประกอบด้วย ข้อความ ภาพ ลิงก์ ซึ่งบางครั้งจะรวมสื่อต่างๆ ไม่ว่า เพลง
 หรือวิดีโอในหลายรูปแบบได้ จุดที่แตกต่างของบล็อกกับเว็บไซต์โดยปกติคือ
 บล็อกจะเปิดให้ผู้เข้ามาอ่านข้อมูล สามารถแสดงความคิดเห็นต่อท้ายข้อความที่เจ้าของบล็อกเป็นคนเขียน 
ซึ่งทำให้ผู้เขียนสามารถได้ผลตอบกลับโดยทันที คำว่า "บล็อก" ยังใช้เป็นคำกริยาได้ซึ่งหมายถึง การเขียนบล็อก
 และนอกจากนี้ผู้ที่เขียนบล็อกเป็นอาชีพก็จะถูกเรียกว่า "บล็อกเกอร์"



Facebook Etiquette มารยาทในการใช้เฟสบุ๊คที่คนรุ่นใหม่ควรรู้
    ใช้เฟสบุ๊คกันมานานเป็นเวลาระยะหนึ่ง สังเกตว่าแต่ละคนมีสไตล์การโพส
 อัพเดท หรือเม้นท์ ในหน้าของตนเองและของเพื่อนต่างๆ กันไป 
บางครั้งก็มีบ้างที่เจอข้อความทั้งของเราและเพื่อน 
ที่อ่านแล้วรู้สึกว่าไม่ค่อยประทับใจ จะเปรียบเทียบไปก็เหมือนกับเรา
ไปได้ยินคนอื่นใช้คำหยาบหรือใช้วาจาที่ไม่เหมาะสม
 สารดังกล่าวนั้นทำให้ผู้รับสารรู้สึกลำบากใจที่ได้รับรู้ 
ถึงแม้ว่าเฟสบุ๊คจะเป็นการสื่อสารในกลุ่มของเพื่อน
ซึ่งอาจถือว่าเป็นการสื่อสารแบบไม่เป็นทางการ 
แต่ลักษณะของสารที่เราส่งไปนั้นไม่ใช่การสื่อสาร
แบบตัวต่อตัวเหมือนกับการพูดกันซึ่งหน้า
 ข้อความที่เราโพสหรือส่งไปนั้นอาจเห็นได้ในวงเพื่อน คนรู้จัก
 ซึ่งบางทีเราก็คิดว่าเพื่อนเราเองโพสขำๆ คงไม่เป็นไร
 แต่เราอาจทำให้เขาอับอาย เสียหน้า โดยไม่ได้ตั้งใจ
 ดังนั้น คนรุ่นนี้ ควรต้องเรียนรู้ที่จะสื่อสารทางเฟสบุ๊คอย่างมีประสิทธิภาพ
คำอธิบาย: http://charathbank.files.wordpress.com/2011/05/facebook-ipad.jpg
ดิฉันอยากรู้เรื่องนี้ก็เลยใช้ กูเกิล ค้นหาคำว่า มารยาทในการใช้เฟสบุ๊คเป็นภาษาไทย แต่ยังไม่เจอว่ามีใครเขียนอย่างเป็นเรื่องเป็นราวเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่พอลองใช้คำค้นภาษาอังกฤษFacebook Etiquette ก็เจออยู่หลายเรื่องทีเดียว ลองอ่านๆดูก็พบเรื่องนี้ที่เขียนได้ดีทีเดียว ลองอ่านกันดูว่ามีคำศัพท์อะไรน่าสนใจบ้างนะคะ
เนื้อหาภาษาอังกฤษนำมาจาก
Facebook Etiquette
There is a general agreed upon courtesy or etiquette for online communication which we can apply to the phenomenal social networking site. Nevertheless, there is no such thing as hard and fast rules for spontaneous social interactions because they are ever-changing.
แม้ว่าจะไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว hard rules สำหรับการสื่อสารทางเฟสบุ๊ค อย่างไรก็ตาม มารยาทบางประการที่รู้กันว่า สิ่งที่ควรทำในการสื่อสารออนไลน์มีอะไรบ้าง
courtesy   แบบแผน ธรรมเนียม
etiquette  มารยาท
A general agreed upon คือ  สิ่งเป็นที่รู้กัน ต่างก็เห็นต้องกัน
phenomenal  เป็นปรากฎการณ์ คือการนิยมการใช้ social network
hard rules กฎเกณฑ์ตายตัว
spontaneous  ตอบสนองทันทีทันใด

The following etiquettes are guidelines to enhance our social interactions and experience with Facebook. 
Five Dos: สิ่งที่ควรทำ ห้าประการ 
1. Message Private Matters Instead of Posting On Wall
ควรใช้วิธีส่งข้อความส่วนตัวทางแมสแสจไม่ใช่การโพสบนวอลล์ เช่น
เราฝากน้องซื้อของที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตเข้าบ้าน ก็โพสต์ผ่านวอลของตนเอง หารู้ไม่ว่าเพื่อนๆ ของคุณและของน้องๆ ก็จะเป็นความเป็นไปส่วนตัวของครอบครัวเราไปหมด เรื่องแค่นี้ โทรศัพท์คุยกันจะดีกว่าไหมคะ
อีกอย่าง คนบางคนไปทำอะไรมาก็ชอบมาแชร์ให้เพื่อนๆ รู้ แม้แต่เรื่องส่วนตัวมากๆ ก็เอามาประกาศในที่สาธารณะ บางทีเรื่องที่เราเห็นตลกขบขัน เช่น รูปงานปาร์ตี้เมื่อคืนที่มีเพื่อนทำท่าแปลกๆ หลุดโลก แต่เมื่อเราเอารูปพฤติกรรมเหล่านั้นที่เป็นเรื่องส่วนตัวของเพื่อนมาประกาศ เพื่อนอาจไม่พอใจก็ได้ จะโพสรูปใครต้องขออนุญาตคนที่เกี่ยวข้องก่อน จะปลอดภัย และเป็นการให้เกียรติกันด้วยเราฝากน้องซื้อของที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตเข้าบ้าน ก็โพสต์ผ่านวอลของตนเอง หารู้ไม่ว่าเพื่อนๆ ของคุณและของน้องๆ ก็จะเป็นความเป็นไปส่วนตัวของครอบครัวเราไปหมด เรื่องแค่นี้ โทรศัพท์คุยกันจะดีกว่าไหมคะ อีกอย่าง คนบางคนไปทำอะไรมาก็ชอบมาแชร์ให้เพื่อนๆ รู้ แม้แต่เรื่องส่วนตัวมากๆ ก็เอามาประกาศในที่สาธารณะ บางทีเรื่องที่เราเห็นตลกขบขัน เช่น รูปงานปาร์ตี้เมื่อคืนที่มีเพื่อนทำท่าแปลกๆ หลุดโลก แต่เมื่อเราเอารูปพฤติกรรมเหล่านั้นที่เป็นเรื่องส่วนตัวของเพื่อนมาประกาศ เพื่อนอาจไม่พอใจก็ได้ จะโพสรูปใครต้องขออนุญาตคนที่เกี่ยวข้องก่อน จะปลอดภัย และเป็นการให้เกียรติกันด้วย
คิดให้ดีว่าสิ่งที่เราโพสจะทำให้คนอื่นคิดมากหรือไม่ [บางทีถ้าเราบ่นหรืออัพอะไรไปลอยๆ เราเองไม่ได้มีเจตนาอะไรแต่คนอ่านนั้นอาจจะคิดต่างไปจากเรา อาจคิดว่าไปว่าเราโพสว่ากระทบเขาหรือเปล่า เช่น เราแสดงความเห็นเกี่ยวกับโฆษณาที่หลอกให้ซื้อสิ่งของต่างๆ  ยกตัวอย่างเช่น สินค้าTV Direct หรือสินคาขายตรงต่างๆ ที่เดี๋ยวนี้บางคนทำเป็นอาชีพเสริม บางคนเขาขายของในเว็บอยู่แล้ว เขาก็อาจเข้าใจผิดก็ได้
ใช้โทรศัพท์ในการติดต่อข่าวสำคัญ อย่าประกาศบนวอลล์ เช่น ข่าวการเสียชีวิตคนในครอบครัว เชิญไปงานสำคัญ เรื่องสำคัญ การนัดหมายเป็นทางการต่างๆ
เป็นการเสียมารยาทและไม่จริงใจในการบอกข่าวสำคัญผ่านเฟสบุ๊ค
อย่าขอเป็นเพื่อนกับคนที่ไม่รู้จักโดยตรง หรือเคยไม่เคยเจอหน้า พุดคุย
หากอย่างเป็นเพื่อนกับใครจริงๆ ขอให้ผ่านการแนะนำจากเพื่อนสู่เพื่อนอีกทีจะดูมีมารยาทกว่า
หากอย่างเป็นเพื่อนกับใครจริงๆ ขอให้ผ่านการแนะนำจากเพื่อนสู่เพื่อนอีกทีจะดูมีมารยาทกว่า
แท็กรูปเพื่อนตอนที่ดูไม่ดี โดยเฉพาะเพื่อนผู้หญิง การโพสรูปที่ไม่สวยเป็นความผิดพลาดร้ายแรง
อย่าอัพเดทสถานะของตนเองบ่อยเกินไป และเลือกแชร์เฉพาะสิ่งที่น่าสนใจ  
การบ่นเกี่ยวกับเรื่องงาน อาจทำให้ตนเองเดือดร้อนได้ อย่าคิดว่าเราบ่นแต่ในหมู่เพื่อน เพื่อนเราไว้ใจได้ เรื่องนี้หลายคนพลาดและทำให้มีปัญหาในการทำงานมาแล้ว คุณจะไว้ใจได้อย่างไรว่าเพื่อนคนใดคนหนึ่งของคุณจะไม่หักหลัง คัดลอกข้อความของคุณไปบอกเจ้านาย
เพื่อนที่กลายเป็นศัตรูเขาเรียกว่า Frenemy
เพื่อนที่กลายเป็นศัตรูเขาเรียกว่า Frenemy
**สุดท้าย สำคัญมาก
Flame Others  วิพากษ์วิจารณ์หรือ แสดงความขัดแย้งกับผู้อื่นกันในที่สาธารณะ
การมีเรื่องขัดใจกับใครควรแก้ปัญหาตรงไปตรงมา การให้ร้ายผู้อื่น พูดถึงข้อเสียของผู้อื่น ท้ายที่สุดคือกระจกเงาสะท้อนตัวคุณนั่นเอง
Flame Others  วิพากษ์วิจารณ์หรือ แสดงความขัดแย้งกับผู้อื่นกันในที่สาธารณะ
การมีเรื่องขัดใจกับใครควรแก้ปัญหาตรงไปตรงมา การให้ร้ายผู้อื่น พูดถึงข้อเสียของผู้อื่น ท้ายที่สุดคือกระจกเงาสะท้อนตัวคุณนั่นเอง


"Best to keep these conversations behind closed doors in Facebook Messaging."

Keep behind closed
doors    เก็บเป็นความลับ ทำในที่ลับ
2. Be Mindful Of What You Post 
What you may not realize is that some of your friends in the advertising industry could see your status in their newsfeed. It’s a general statement, but they might think you are targeting them. Of course, it’s not going to be any fun if you’re going to consider all the possible misinterpretations before you post anything, but just be mindful of it.
you are targeting them  ตั้งใจโจมตีกลุ่มคนนั้นๆ
just be mindful of it      ใส่ใจ หรือคิดให้ดี
เพื่อนบางคนมาอ่านเห็นอาจคิดว่าเราตั้งใจโพสว่าเขาหรือเปล่า ดังนั้นจะโพสอะไรก็ไตร่ตรองให้ถ้วนถี่นะคะ
3. Call Rather Than Post Personal News 
This isn’t just Facebook etiquette; it’s social etiquette or even common sense. If you need to inform your friends or your family about some important and personal news (e.g. death in the family), don’t declare it out in the public domain. Facebook is a social networking site; it’s supposed to be public. This means that people can know what happened.
สิ่งนี้ไม่ใช่แค่มารยาทออนไลน์ แต่เป็นมารยาททางสังคมที่ต้องใช้สามัญสำนึก เช่น หากมีคนในครอบครัวเสีย การแสดงความเสียใจ ควรจะบอกกันด้วยวาจาดีกว่า การพูดจะดูจริงใจมากกว่าการทิ้งข้อความ เรื่องนี้เป็นมารยาทสังคมที่พึงกระทำอยู่แล้ว เช่น เราอยากจะบอกเลิกกับใครก็ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะบอกโดนการส่งข้อความ หรือการโทรศัพท์
The other reason not to post is courtesy. It’s the same reason why you shouldn’t use SMS (or even the phone) to break up with someone. It’s rude and insincere to break important news, be it good or bad ones, without having some form of genuine communication through voice tones and body languages.
It’s rude and insincere to break important news

4. Avoid Posting Comments On Every Post อย่าโพสคอมเมนต์บ่อยเกินไป
สมมติเรามีเพื่อนอยู่สองสามคนที่เราชอบคอมเมนต์กันไปมา แต่ก็ควรจะเว้นระยะให้หายใจกันบ้าง ไม่ใช่ว่าเพื่อนทำอะไรเราก็มีความเห็นไปทุกอย่าง เดี๋ยวเขาจะว่าเราสะกดรอยตามเขาอยู่นะคะ
If you’re stalking your friend, leave it at that. Don’t make it a habit to make some comment on everything your friends post or they’ll start to get suspicious. Even if you say with all honesty that you are not stalking them, it’s not going to be easy for them to believe that their status updates always appear on your newsfeed.
Stalking   คอยตาม เหมือนพวกโรคจิต ตามดูทุกฝีก้าว
It’s open secret that everyone checks out their friends’ profile every now and then, but to comment on everything is to admit that you are constantly checking out on them. What is even worse is that your friend’s friends might notice as well, seeing that you are a ‘regular’ commenter. If you don’t wish to be labeled a pest, try to limit your comments somewhat.
checking out on   คอยตรวจตรา ตรวจสอบว่าทำอะไรอยู่
labeled a pest   ถูกตราหน้าว่าเป็นตัวน่ารำคาญ

5. Be Careful Of Your Tone ให้ระวังน้ำเสียงของข้อความ
เนื่องจากการสื่อสารในเฟสบุ๊คนั้นคือการส่งข้อความตัวหนังสือเสียเป็นส่วนมาก ดังนั้นภาษาที่เราใช้บางทีอาจจะออกเชิงเสียดสีโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ อย่างไรก็ตามสามารถทำให้ดูเป็นมิตรขึ้นได้โดยการใช้ Emoticons พวกหน้ายิ้มต่างๆ ช่วยทำให้น่าอ่านมากขึ้นค่ะ ^_^
As with all other online communication, communicating in Facebook is mostly textual. We can neither hear the voice tone nor see the body language when the other person ‘speaks’. In other words, it’s easy for someone to think you are being sarcastic when you are not, or misunderstand you in any other manner for that matter. To complicate things, everyone has their own typing style.
One way we can compensate for the lack of cues is to use emoticons. It’s pretty limited, but experience has taught me that a simple smiley face after a sentence can do wonders by neutralizing any potential tension. Smile and the whole world smiles with you :)

Five Don’ts: สิ่งที่ไม่ควรทำห้าประการ
1. Make Friend Requests To Strangers  
If you wish to add someone for some valid reason, like to get to know this person with some introduction or through amutual friend.

2. Tag Your Friends In ‘Unglam’ Shots  
Guys may take it lightly when they are tagged in photos that look as if they just woke up from the bed, thinking that it’s a joke pulled off by their friends. When it comes to gals though, appearing ‘unglam’ means a lot more to them. Of course, this applies to some guys as well. What you need to take from this rule is to be sensitive of who you might be tagging in photos, especially those shots which are obviously awfully taken.
Unglam(orous)  ดูไม่ดี  
A joke pulled off by friends    เรื่องตลกที่เพื่อนจะเข้ามาช่วยกันฮา ช่วยกันขำ

3. Overshare Yourself  
Checking out the updates on your newsfeed, you see the same friend updating his status over and over again. Not any insightful ones, but just posts about what he’s doing every ten minutes. How exciting. You decide to hide his posts.
หากเราโพสไร้สาระบ่อยๆ ในที่สุดคนอ่านก็จะซ่อนสิ่งที่เราโพสไปเพราะเขาไม่อยากอ่านอะไรที่มันน่ารำคาญเป็นประจำ แม้แต่บางคน ปวดเข้าห้องน้ำก็โพส
Spice up your status updates a little. Instead of telling your friends you’re in the can taking a leak, share something interesting about yourself.
In the can taking a leak   เข้าห้องน้ำเพื่อปัสสาวะ   (สถานะแบบนี้ กิจธุระส่วนตัวมากๆ อย่าโพสให้เป็นการประเจิดประเจ้อเลยค่ะ)
Spice up ทำให้น่าสนใจ มีสีสัน
4. Vent About Your work 
Facebook is a double-edged sword when it comes to its social networking capability. Even with your most stringent privacy settings, there’s still a risk that what you post can reach people you wouldn’t want it to reach, and your co-workers and boss are the last people you want to mess with. So, just play safe and leave your venting to somewhere private.
แม้ว่าบางคนจะตั้งความเป็นส่วนตัวไว้สูงสุดแต่บางทีอาจมีผู้ไม่ประสงค์ดีแอบเอาข้อความส่วนตัวของเราออกไปบอกชาวบ้านทราบ ทีนี้ละเป็นเรื่องใหญ่
double-edged sword   ดาบสองคม
Vent  คือ บ่น การระบายความรู้สึก เหมือนปล่อยระบายอากาศ ระบายควัน ในที่นี้คือช่องทางที่ระบายความอัดอั้นตันใจทางเฟสบุ๊คนั่นเอง บางคนบ่นเจ้านาย บ่นเพื่อนร่วมงาน หรือบ่นเรื่องครอบครัว มันไม่เป็นผลดีต่อตนเองเท่าไหร่นัก
5. Post Chain Status Updates  โพสเรื่องที่ส่งต่อกันมาเป็นทอดๆ เหมือนอีเมลลูกโซ่ 
Remember those chain e-mails that demand you to forward to all of your friends or you’ll die a horrible, horrible death? Well, Facebook has a similar kind of chain, but usually for a good cause. Someone first post a status update about a social cause, encouraging those who read it to post the status too, so that their friends will get to read it and post it as well. This chain thus spread the cause, raising public awareness.
The intention here is right, but sometimes too much of a good thing isn’t good. When you see your newsfeed updates filled with the same status, you get annoyed instead, and you associate your negative emotion to that social cause.
พวกชอบแท็กโฆษณาทั้งหลายจะทำให้คนอื่นรำคาญและในที่สุดคุณก็จะถูก unfreind/defreindทั้งทางเฟสบุ๊คและในโลกความเป็นจริง เพราะคุณทำตัวน่ารำคาญ ทั้งกรณีที่ขอบริจาคช่วยเหลือทั้งหลาย คุณอาจทำให้เพื่อนโดนหลอกก็ได้ คนที่อยู่ในรูปน่าสงสารนั้นอาจไม่มีจริง หรือได้รับการช่วยเหลือไปนานแล้ว

Everyone is entitled to state their own opinion on the free internet, so there’s no need to put anyone down just because you disagree (or worse, don’t like the person).  Sometimes I even see people criticizing the comments of their friend’s friend who replied to the post, whom they don’t even know. It’s embarrassing not only to yourself, but to your friend as well.
In the spirit of good conversations, let’s keep this in mind in whatever communication we have online, in Facebook, forums, emails, etc. Don’t ruin it for everyone.

สรุปแล้ว คือ ไม่ว่าจะเป็นโลกออนไลน์หรือการเข้าสังคม เราก็ควรจะรักษามารยาทในการสื่อสารไว้ คิดก่อนโพสทุกครั้งนะคะ ด้วยความปรารถนาดี ^.^
ที่ผ่านมามีคนเข้ามาอ่านเยอะ ยินดีค่ะ หากใครจะนำไปเผยแพร่ อีเมลมาบอกกันได้นะคะ อยากรู้ว่าใครสนใจหรือมีข้อแนะนำเพิ่มเติมได้ค่ะ
มีคลิปของช่อง อ้างถึงบทความนี้ด้วย เชิญติดตามไปชมกันได้ค่ะ  คลิกเพื่อเข้าชม






     IE หรือ Internet Explorer เป็นซอฟต์แวร์ สำหรับใช้งานระบบอินเตอร์เน็ต หรือมักจะนิยมเรียกว่า Browser ที่มีมาพร้อมกับ Windows ทุกรุ่น โดยที่หากเป็น Windows98 Thai ก็จะมี IE4.0 แถมมาด้วย หากเป็น Windows98 SE ก็จะเป็น IE5.0 และถ้าเป็น WindowsMe ก็จะมี IE5.5 แถมมาให้ ดังนั้น หากคิดจะเล่นอินเตอร์เน็ตด้วย IE แล้วละก็ มาดูเทคนิค พื้นฐานเบื้องต้น ที่ควรจะรู้ไว้ ในการใช้ IE ให้เต็มความสามารถ
เมนู ปุ่ม และคำสั่งในเบื้องต้น
การใช้งาน IE ในเบื้องต้นก็คงจะไม่มีอะไรมากนัก คิดว่าหลาย ๆ คนคงจะพอรู้กันอยู่บ้างแล้ว เอาเป็นว่าผมจะทบทวนหลัก ๆ อีกครั้ง จากหน้าตาของ IE ที่คุ้นเคยกันดังนี้
มาดูหน้าที่ของปุ่มต่าง ๆ กันเลย
 ปุ่ม Back ใช้สำหรับย้อนกลับไปหน้าที่ผ่านมาแล้ว
 ปุ่ม Forward ใช้สำหรับเปลี่ยนไปหน้าต่อไป (หลังจากที่ย้อนกลับมา)
 ปุ่ม Stop ใช้สำหรับหยุดการโหลดข้อมูลในหน้าเว็บเพจนั้น
 ปุ่ม Refresh ใช้สำหรับการเรียกโหลดข้อมูลหน้าเว็บเพจใหม่อีกครั้ง
 ปุ่ม Home ใช้สำหรับกลับไปหน้าแรกหรือกลับไปที่ URL ที่ตั้งไว้ให้เป็นหน้าแรก
 ปุ่ม Search ใช้สำหรับค้นหาเว็บไซต์
 ปุ่ม Favorites ใช้สำหรับเลือกเว็บไซต์จาก Favorites หรือ Book Mark
 ปุ่ม History ใช้สำหรับการย้อนกลับไปดูเว็บไซต์ที่เคยเข้าไปดูมาแล้ว
 ปุ่ม Mail ใช้สำหรับการ รับ-ส่ง อีเมล์
 ปุ่ม Print ใช้สำหรับการพิมพ์หน้าเว็บออกเครื่องพิมพ์
 ปุ่ม Edit ใช้สำหรับการแก้ไขหน้าเว็บเพจนั้น ๆ
เทคนิคการใช้งาน IE ที่ควรทราบ
1. การกดปุ่ม เมาส์ขวา เพื่อเรียกเมนูใช้งานอย่างรวดเร็วได้ เช่นการเก็บรูปภาพ การเปิดหน้าต่างใหม่ หรืออื่น ๆ
2. การกดปุ่ม Shift ค้างไว้ก่อนใช้เมาส์กดลิงค์ จะเป็นการบังคับให้เปิดลิงค์ในหน้าต่างใหม่ไปในตัว
3. การกดปุ่ม Shift ค้างไว้พร้อมกับการกดที่ปุ่ม Refresh จะเป็นการเรียกข้อมูลโดยตรงไม่เรียกจาก Proxy Server
4. การกดปุ่ม ALT + ปุ่มลูกศร ซ้าย หรือ ขวา จะเป็นการเรียกใช้เมนู Back หรือ Forward ได้เช่นกัน
5. การกดปุ่ม Ctrl + N เป็นการเปิดหน้าต่างใหม่เพิ่มขึ้นมา
6. หากพบภาพที่ถูกใจ สามารถตั้งให้เป็น Wall Paper ได้ทันทีโดยกดปุ่มเมาส์ขวา เลือกที่ Set as wallpaper
7. เราสามารถส่งหน้าเว็บเพจที่กำลังดูผ่านทางอีเมล์ ได้โดยการเลือกที่ File >> Send โดยจะส่งเป็นลิงค์หรือทั้งหน้าก็ได้
8. ก่อนการพิมพ์หน้าเว็บออกเครื่องพิมพ์ ควรจะเลือกที่ Print Preview เพื่อดูรูปแบบต่าง ๆ เสียก่อน
9. การค้นหาข้อความในหน้าเว็บเพจ สามารถใช้เมนู Edit และ Find (on This Page) หรือกด Ctrl + F ได้
10. การกำหนดขนาดของหน้าต่างที่เปิดใหม่ ทำโดยขยายขนาดของหน้าต่างที่เพิ่งเปิด ให้มีขนาดตามต้องการและกดปิด
11. ควรจะทำการอัพเกรด IE ให้เป็นเวอร์ชัน 5.50 built 4134.0600 หรือสูงกว่านี้เพื่อการใช้งานที่เสถียรขึ้น (มาก ๆ)
 








การทำวีดีโอโชว์ด้วยโปรแกรมยูหลีด



ในที่นี้ จะใช้ UleadVideoStudio 11.0 เป็นตัวอย่าง

 

เมื่อติดตั้งตัวโปรแกรมแล้ว ก็เปิดการใช้งาน 



เลือกที่ VideoStudio Editor เพื่อสร้างไฟล์วีดีโอ


หน้าตาของตัวโปรแกรมในขณะใช้งาน 


ตรงส่วนนี้จะมีให้เลือกหน้าตาในการปรับแต่งไฟล์วีดีโอ



จากนั้นให้ Right Click ที่ช่องแนบไฟล์ เพื่อเลือกไฟล์ภาพ หรือวีดีโอ 


เลือกไฟล์ที่ต้องการใส่ในวีดีโอ สามารถลากเมาส์เพื่อเลือกทีละมากกว่าหนึ่งไฟล์ จากนั้นกด Open  


หากต้องการใส่เพลงให้กับวีดีโอ ก็ให้ Right Click แล้วเลือกแนบไฟล์ Audio 


เลือกเพลงที่ต้องการ แล้วกด Open 


ก็จะได้เช่นนี้


พึงจดจำ หมั่นเซฟไฟล์โปรเจคเป็นระยะๆ เพื่อว่าหากมีข้อขัดข้อง โปรแกรมไม่ทำงาน เรายังสามารถเรียกงานเดิมกลับมาทำใหม่ได้ ไม่ต้องเริ่มต้นใหม่ ! 


ไฟล์ที่ได้มา จะเป็นนามสกุล .VSP เป็นไฟล์โปรเจคของโปรแกรม Ulead


นอกจากไฟล์ภาพแล้ว ยังสามารถแนบไฟล์วีดีโอ มาสร้างไฟล์ร่วมกันได้ 




จากนั้นเป็นการปรับแต่งไฟล์วีดีโอที่จะทำ

Effect : การใส่แอนนิเมชั่นให้รูปภาพและไฟล์วีดีโอ

เป็นการใส่อีเฟคระหว่างไฟล์ เพื่อให้ไฟล์วีดีโอดูสดใสขึ้น ไม่ทื่อเกินไป
เลือกอีเฟคที่ต้องการ แล้วใช้เมาส์คลิกลากลงไปวางระหว่างไฟล์



ยังมีอีเฟคต่างๆ ให้เลือกตามที่ต้องการ


อีเฟคระหว่างไฟล์ เราสามารถจับลากให้สั้นยาวได้ตามต้องการ แต่จะต้องคอยปรับความยาวของภาพและไฟล์ด้วยตามลำดับ เนื่องจากอีเฟคเหล่านี้จะย่นความยาวของไฟล์โดยอัตโนมัติ เพื่อแทรกแอนนิเมชั่น

Tips :

เนื่องจากมีอีเฟคมากมายให้เลือก แต่มิใช่ว่าเราจะใช้ทั้งหมด เราสามารถเลือกเพียงแค่ไม่กี่อย่าง ที่เราชอบและใช้บ่อย ไว้ในหมวดที่ฉันชื่นชอบ เพื่อเรียกใช้ได้สะดวกขึ้น ด้วยการ Right Click --> Add to My Favorites




หลังจากเพิ่มอีเฟคหมดแล้ว ก็ปรับแต่งความยาวของแต่ละไฟล์ตามต้องการ


Title : การใส่ข้อความลงในวีดีโอ

เป็นการใส่ข้อความต่างๆ ลงบนหน้าจอวีดีโอ สำหรับยูหลีด11 สามารถใส่ภาษาจีนได้ แต่ยูหลีด10 ไม่แสดงผลภาษาจีน

แอนนิเมชั่นข้อความ ที่มากับตัวโปรแกรม ก็มีให้เลือกสรรมากมายอยู่แล้ว เราสามารถเลือกแอนนิเมชั่นที่เราต้องการ แล้วจับลากลงช่อง Text



Doubble Click ที่กล่องข้อความ เพื่อทำการแก้ไขปรับแต่งต่างๆ



ส่วนนี้คือการปรับตำแหน่งของกล่องข้อความ 


ส่วนนี้คือการปรับแต่งฟอนต์ และอีเฟคต่างๆ ของข้อความ 


ถัดไป คือการปรับแต่งแอนนิเมชั่นของกล่องข้อความ ในการแสดงผล
ติ๊กที่ Apply animation เพื่อให้แสดงผลแอนนิเมชั่นของกล่องข้อความ



ส่วนนี้คือการปรับแต่งเพิ่มเติม ของการแสดงผลแอนนิเมชั่น 


ในการแก้ไขข้อความ ให้ Doubble Click ที่กล่องข้อความที่หน้าจอ จึงจะสามารถเปลี่ยนข้อความได้ 


เช่นกัน กล่องข้อความก็สามารถลากสั้นยาวได้ตามที่ต้องการ

 
Audio : การปรับแต่งไฟล์ออดิโอของวีดีโอ

เป็นการปรับแต่งต่างๆ ให้กับไฟล์เสียง เช่น ปรับเสียง หรืออีเฟคอื่นๆ เพิ่มเติม (สามารถค่อยๆ ศึกษาต่อภายหลัง)

คลิ้กที่ไฟล์ออดิโอ



ในส่วนนี้คือการปรับแต่ง ส่วนของการแยกลำโพงซ้ายขวานั้นเหมาะกับการสร้างวีดีโอ จากไฟล์วีดีโอที่มีการพากษ์เสียงมากกว่าหนึ่งภาษา หรือไฟล์คาราโอเกะ เราสามารถปรับตรงนี้เพื่อเลือกภาษาเดียว หรือเลือกแค่เสียงคาราโอเกะ 


เมื่อเสร็จสิ้นการปรับแต่งเบื้องตน ก็ถึงลำดับของการสร้างไฟล์วีดีโอ คลิ้กที่ Share เพื่อสร้างไฟล์ 


เลือกรูปแบบไฟล์ที่ต้องการจะสร้าง ในกรณีของการสร้างไฟล์วีดีโอ สำหรับทำแผ่นวีซีดี แนะนำให้เลือก mpeg2 ซึ่งเป็นไฟล์ชนิดเดียวกันกับ mpeg1 แต่คุณภาพรูปภาพจะชัดกว่า mpeg1 หนึ่งเท่าตัว
หรือจะเลือกเป็น SVCD หรืออื่นๆ ก็ได้เช่นกันนกัน



หลังจากนั้นก็ปล่อยให้โปรแกรมเรนเดอร์ไฟล์วีดีโอ (สร้างไฟล์วีดีโอ) ในระหว่างนี้ ไม่ควรเปิดโปรแกรมอื่นๆ มาใช้งาน เพื่อว่าจะได้ไฟล์ที่มีคุณภาพดีที่สุด


ลูกเล่นเพิ่มเติม !

การสร้างไฟล์วีดีโอ ยังสามารถเพิ่มฉากหลังให้กับวีดีโออีกด้วย ด้วยการแยกการแนบไฟล์ไว้สองบรรทัด โดยที่บรรทัดบนคือฉากหลัง บรรทัดล่างคือฉากหลัก
(ในการแนบไฟล์ภาพหรือวีดีโอ มันอาจจะอยู่บนบรรทัดบนหมด เพียงแค่จับลากมาไว้บรรทัดล่าง ก็สามารถแยกได้ จากนั้นก็ตามปรับลำดับภาพต่างๆ ตามที่ต้องการ



สำหรับฉากหลัง การเพิ่มอีเฟค จะเป็นดังเช่นด้านบนที่อธิบายไว้ แต่สำหรับฉากหลัก การเพิ่มแอนนิเมชั่นจะไม่เหมือนกัน
เริ่มแรกคือการปรับขนาดหน้าจอฉากหลัก ด้วยการคลิ้กที่หน้าต่างนั้นๆ แล้วลากขนาดตามที่ต้องการ



เมื่อปรับขนาดตามที่ต้องการแล้ว และปรับแต่งแอนนิเมชั่นอื่นๆ เสร็จสิ้นแล้ว และต้องการให้ไฟล์อื่นๆ มีขนาดเดียวกัน ให้ Right Click ที่ไฟล์นั้นๆ แล้วเลือก Copy Attributes
จากนั้นให้ Right Click ที่ไฟล์อื่นๆ แล้วเลือก Past Attribues เพื่อให้แสดงผลแอนนิเมชั่นอย่างเดียวกัน



ตรงส่วนนี้จะเป็นการปรับแอนนิเมชั่นของฉากหลัก ส่วนที่ติ๊กไว้ คือให้แสดงผลของการซูมรูปภาพ

 
เสร็จสิ้น ไฟล์วีดีโอที่ได้ ก็จะมีฉากหลังที่เราต้องการ ให้ดูเพลินตาอีกต่อหนึ่ง 



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น